เมนู

อรรถกถาเสลสูตรที่ 7


เสลสูตร มีคำเริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ? ท่านกล่าวถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นไว้ใน
นิทานแห่งเสลสูตรนั้นแล้ว. แม้ในลำดับการพรรณนาความแห่งสูตรนี้ ก็เช่น
เดียวกันกับสูตรก่อน พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในสูตรก่อนนั่นแล. ก็บทใด
ยังไม่ได้กล่าวไว้ เราจักเรียบเรียงบททั้งหลายที่มีความง่าย พรรณนาบทนั้น.
บทว่า องฺคุตฺตราเปสุ ได้แก่ ชนบทนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าอังคา,
อังคาใดชื่อว่า อาปะ ที่ซับน้ำมีอยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำคงคา, ท่านเรียกว่า
อุตตราปะ ก็มี เพราะอยู่ไม่ไกลแม่น้ำเหล่านั้น ถามว่า อังคาใดที่ชื่อว่า
อาปะอยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำคงคาตอนไหน ? ตอบว่า แม่น้ำคงคาที่ชื่อว่า
มหามหี. เพื่อความแจ่มแจ้งของแม่น้ำนั้นในสูตรนี้จะพรรณนาตั้งแต่ต้น.
มีเรื่องเล่ามาว่า ชมพูทวีปนี้มีประมาณหนึ่งหมื่นโยชน์. ในชมพูทวีป
นั้นพื้นที่ประมาณ 4 พันโยชน์ถูกน้ำท่วม จึงเรียกว่า สมุทร. พวกมนุษย์
อาศัยอยู่ในเนื้อที่ประมาณ 3 พันโยชน์ มีเขาหิมพานต์ตั้งอยู่ในเนื้อที่ 3 พัน
โยชน์โดยส่วนสูงประมาณ 500 โยชน์ ประดับด้วยยอด 84,000 ยอด โดย
รอบวิจิตรตระการไปด้วยมหานทีทั้งห้าไหลบ่าสงโดยยาวและกว้างประมาณ 100
โยชน์ เพราะลึกมาก มีบริเวณรอบ ๆ ประมาณ 150 โยชน์ มีสระใหญ่ 7
สระ มีสระอโนดาตเป็นต้นตั้งอยู่ ดังได้กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาปูรฬาสสูตร.
ใน 7 สระนั้น สระอโนดาตล้อมไปด้วยภูขา 5 ลูกเหล่านี้ คือ สุทัสสนกูฎ
จิตรกูฏ กาฬกฏ คันธมาทนกูฏ เกลาสกูฏ. ในภูเขา 5 ลูกนั้น สุทัสสนกูฏ

สำเร็จด้วยทองคำ สูง 200 โยชน์ ภายในคดมีสัณฐานคล้ายปากของกาตั้ง
ปกคลุมสระนั้นอยู่ จิตรกูฏสำเร็จด้วยรัตนะทั้งปวง กาฬกูฏสำเร็จด้วยไม้อัญชัน
คันธมาทนกูฏสำเร็จด้วยแก้วตาแมว ภายในมีสีเหมือนถั่วเขียว ดาดาษไปด้วย
โอสถหลายอย่าง ในวันอุโบสถข้างแรมรุ่งเรืองเหมือนถ่านถูกไฟเผา เกลาสกูฏ
สำเร็จด้วยเงิน ทั้งหมดมีส่วนสูงเท่ากันกับสุทัสสนะ ตั้งปกคลุมสระนั้น
สระทั้งหมดฝนตกอยู่ด้วยอานุภาพของเทวดาและอานุภาพของนาค. อนึ่ง แม่น้ำ
ไหลลงไปในสระเหล่านั้น น้ำทั้งหมดนั้นไหลลงสู่สระอโนดาต. พระจันทร์และ
พระอาทิตย์โคจรผ่านไปทางทิศใต้หรือทิศเหนือทำให้สระนั้นได้แสงสว่างโดย
ระหว่างภูเขา เมื่อโคจรไปตรง ๆ ไม่ทำให้สว่าง. ด้วยเหตุนั้น สระนั้นจึง
ชื่อว่าอโนดาต. ในสระอโนดาตนั้น มีท่าลงอาบน้ำ มีน้ำใสงดงาม ไม่มีปลาและ
เต่า ใสสะอาดคล้ายแก้วผลึก มีน้ำใสสะอาด ตกแต่งไว้อย่างงดงาม. พระพุทธ-
เจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระขีณาสพและหมู่ฤาษีพากันอาบน้ำที่สระนั้น ทั้ง
พวกเทวดาและยักษ์เป็นต้นก็พากันเล่นสนุกสนานในอุทยานนั้น. ที่ขอบฝั่งทั้ง
สี่ของสระนั้นมีสี่ปาก สระ 4 ปาก คือปากสีหะ 1 ปากช้าง 1 ปากม้า 1 ปาก
โคอุสภะ 1. แม่น้ำทั้งสี่สายไหลออกจากปากสระนั้น. ที่ฝั่งแม่น้ำอันไหลออก
จากปากสีหะมีสีหะมากกว่า จากปากช้างเป็นต้น มีช้างม้าและโคอุสภะมากกว่า.
แม่น้ำไหลออกจากทางทิศตะวันออก ไหลเวียนไปทางขวาสระอโนดาต 3
รอบ มิได้อาศัยแม่น้ำ 3 สายนอกนี้ ไหลไปทางของอมนุษย์ทางด้านป่า
หิมพานต์ทางทิศตะวันออกแล้วไหลลงมหาสมุทร. แม้แม่น้ำที่ไหลออกจากทิศ
ตะวันตก และจากทิศเหนือก็ไหลเวียนขวาเหมือนกัน แล้วไหลไปทางของอมนุษย์
ทางป่าหิมพานต์ด้านตะวันตกและป่าหิมพานต์ด้านเหนือแล้วไหลลงมหาสมุทร.

ส่วนแม่น้ำที่ไหลออกจากทิศด้านใต้ก็ไหลเวียนขวา 3 รอบ แล้วไหลตรงไปทาง
ใต้ สิ้นทาง 60 โยชน์บนหลังหินนั่นเอง แล้วกระทบภูเขาไหลไปเป็นสายน้ำ
ประมาณ 3 คาวุตโดยส่วนกว้าง ไหลไป 6. โยชน์ทางอากาศแล้วตกลงบน
แผ่นหินชื่อติยัคคฬะ. และแผ่นหินแตกด้วยกำลังสายน้ำ ณ ที่นั้นก็เกิดสระ-
โบกขรณีชื่อติยัคคฬะประมาณ 50 โยชน์ ทำลายฝั่งสระโบกขรณีไหลเข้าไปยัง
แผ่นหินไปได้ 60 โยชน์ จากนั้นก็ทำลายแผ่นดินหนาทึบ. ไหลลงไปประมาณ
60 โยชน์ทางอุโมงค์ กระทบติรัจฉานบรรพตชื่อว่าวิชฌะ แยกออกเป็น 5
สาย คล้ายนิ้วทั้ง 5 บนฝ่ามือไหลไป. สายน้ำทั้ง 5 นั้น ในที่ที่ไหลเวียนขวา
สระอโนดาต 3 รอบ เรียกว่าอาวัฏฏคงคา ในที่ที่ไหลตรงไปตามหลังแผ่นหิน
60 โยชน์ เรียกว่า อากิณณคงคา. ในที่ที่ไหลไปทางอากาศ 60 โยชน์ เรียกว่า
อากาศคงคา. สายน้ำตกลงบนแผ่นหินชื่อว่า ติยัคคฬะตั้งอยู่บนที่ว่างประมาณ
54 โยชน์ ท่านจึงเรียกว่าติยัคคฬโบกขรณี. สายน้ำในที่ที่ทำลายฝั่งแล้วไหล
เข้าไปยังแผ่นหิน ไหลไปประมาณ 60 โยชน์ เรียกว่า พหลคงคา.
สายน้ำในที่ที่ทำลายแผ่นดินแล้วไหลไปทางอุโมงค์สิ้น 60 โยชน์ เรียกว่า
อุมมังคคงคา. สายน้ำในที่ที่เป็น 5 สาย กระทบดิรัจฉานบรรพตชื่อว่าวิชฌะ
แล้วไหลไป ท่านเรียกว่าปัญจธารา (แม่น้ำ 5 สาย) คือ คงคา ยมุนา อจิรวดี
สรภู มหี. มหาคงคาทั้ง 5 เหล่านี้มีหิมะตก. ในแม่น้ำ 5 สายเหล่านั้น
แม่น้ำสายที่ 5 ชื่อมหีนั่นแหละท่านประสงค์เอาชื่อว่า มหามหีคงคา ในที่นี้.
อาปะใดทางทิศเหนือของแม่น้ำคงคา อาปะนั้นเป็นชนบท เพราะไม่
ไกลสายน้ำเหล่านั้น พึงทราบว่าชื่อ อังคุตตราปะ.

บทว่า จาริกํ จรมาโน เสด็จจาริกไป คือ เดินทางไป. ในบทนั้น
พึงทราบการจาริกของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีสองอย่าง คือ ตุริตจาริกา (จาริก
รีบด่วน) 1 อตุริตจาริกา (จาริกไม่รีบด่วน) 1. ในจาริกสองอย่างนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นบุคคลที่ควรโปรดในที่ไกลก็รีบเสด็จไป ชื่อว่า
ตุริตจาริกา. ตุริตจารก้านั้นพึงเห็นในการต้อนรับพระมหากัสสปเป็นต้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปต้อนรับพระมหากัสสปนั้นได้เสด็จไปถึง 3 คาวุต
เพียงครู่เดียวเท่านั้น, ได้เสด็จไป 30 โยชน์ เพื่อทรงทรมานอาฬวกยักษ์, ได้
เสด็จไป 30 โยชน์เพื่อโปรดองคุลิมาล ได้เสด็จไป 45 โยชน์ เพื่อโปรดปุก-
กุสาติพราหมณ์. ได้เสด็จไป 120 โยชน์ เพื่อโปรดพระเจ้ามหากัปปิยนะ, ได้
เสด็จไปทางไกลประมาณ 700 โยชน์ เพื่อโปรดธนิยะ นี้ชื่อว่า ตุริตจาริกา
เสด็จโดยรีบด่วน. การเสด็จไปเพื่ออนุเคราะห์โลกด้วยการเที่ยวไปบิณฑบาต
ตามลำดับบ้าน นิคม นคร ชื่อว่า อตุริตจาริกา เสด็จโดยไม่รีบด่วน
อตุริตจาริกานี้ท่านประสงค์เอาในที่นี้ ด้วยเหตุนี้จึงกล่าว จาริกํ จรมาโน.
บทว่า มหตา ใหญ่ คือ ใหญ่โดยจำนวนและใหญ่โดยคุณ. บทว่า
ภิกฺขุ สงฺเฆน คือ หมู่สมณะ. บทว่า อฑฺฒเตรเสหิ 12 ครึ่ง ท่าน
อธิบายว่ากับภิกษุ 1,250 รูป. บทว่า เยน ฯเปฯ ตทวสริ เสด็จถึงนิคม
ของชาวอังคุตตราปะ ชื่อว่า อาปณะ นิคมนั้นได้ชื่อว่าอาปณะเพราะมีตลาดมาก.
ได้ยินว่า ที่นิคมนั้นมีตลาดใหญ่จ่ายของกันถึงสองหมื่นตลาด. ผู้คนได้เดินทาง
มารวมกันที่นิคมแห่งรัฐของชาวอังคุตตราปะทั่วทุกทิศ ด้วยเหตุนั้น ท่านจึง
กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงได้เสด็จถึงนิคมนั้น.

บทว่า เกณิโย ชฏิโล ชฎิลมีชื่อว่า เกณิยะ. คำว่า ชฏิโล ความว่า
เป็นดาบส เล่ากันมาว่า เกณิยชฎิลนั้นเป็นพราหมณ์มหาศาล แต่เพื่อรักษาทรัพย์
จึงถือบรรพชาเป็นดาบส ถวายเครื่องบรรณาการแด่พระราชา จับจองภาคพื้น
สร้างอาศรมอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น มีผู้อาศัยอยู่ด้วยหนึ่งพันตระกูล. อาจารย์บางพวก
กล่าวว่า แม้ที่อาศรมของเกณิยชฎิลนั้นมีต้นตาลอยู่ต้นหนึ่ง หล่นผลเป็นทองคำ
ผลหนึ่งทุก ๆ วัน. เกณิยชฎิลนั้น เวลากลางวันนุ่งห่มผ้ากาสาวะและสวมชฎา
เวลากลางคืน เอิบอิ่มเพียบพร้อมบำเรอด้วยกามคุณห้าตามสบาย. บทว่า
สกฺยปุตฺโต แสดงถึงตระกูลชั้นสูง. บทว่า สกฺยกุลา ปพฺพชิโต ทรงผนวช
จากศากยตระกูล แสดงถึงการบวชด้วยศรัทธา. ท่านอธิบายไว้ว่า เป็นผู้มิได้
ถูกความเสื่อมไร ๆ ครอบงำ ละตระกูลนั้นทั้งที่ไม่เสื่อมออกทรงผนวชด้วย
ศรัทธา. บทว่า ตํ โข ปน เป็นทุติยาวิภัตติลงในอรรถแห่งอิตถัมภูตะ
(ฉัฏฐีวิภัตติ) ได้ความเป็น ตสฺส โข ปน โภโต โคตมสฺส ของ
พระโคดมผู้เจริญนั้นแล. บทว่า กลฺยาโณ งาม คือประกอบด้วยคุณอันเป็น
ความงาม. ท่านอธิบายว่า ประเสริฐที่สุด. บทว่า กิตฺติสทฺโท กิตติศัพท์
คือ ชื่อเสียงหรือประกาศยกย่อง. ก็ในบทมีอาทิว่า อิติปิ โส ภควา นี้
โยชนาแก้ไว้เพียงเท่านี้. ท่านอธิบายว่า ด้วยเหตุนี้ ๆ ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์แม้ด้วยเหตุนี้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้ด้วย
เหตุนี้ ฯลฯ เป็นผู้มีโชคแม้ด้วยเหตุนี้ ดังนี้.
พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า อรหํ ดังนี้ พึงทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์เป็นอรหันต์ด้วยเหตุเหล่านี้ก่อนคือ เพราะเป็นผู้ไกลจากกิเลส เพราะ

เป็นผู้กำจัดข้าศึกคือกิเลส และหักซี่กำคือกิเลส เพราะเป็นผู้ควรแก่ปัจจัยเป็นต้น
เพราะไม่มีความลับในการทำบาป. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
เป็นผู้ไกลจากกิเลสทั้งปวง เพราะกำจัดกิเลสพร้อมด้วยวาสนา ด้วยมรรค
เพราะฉะนั้น จึงเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไกล. อนึ่ง พระองค์กำจัดข้าศึก
คือกิเลสเสียได้ด้วยมรรค เพราะฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า อรหํ เพราะทรงกำ
จัดข้าศึกเสียได้. อนึ่ง คุมคืออวิชชา ภวตัณหา ซี่ล้อคืออภิสังขารมีบุญเป็นต้น
กงคือชราและมรณะ เสียบด้วยเพลาอันสำเร็จด้วยสมุทัยคืออาสวะประกอบเข้า
ไปในรถคือภพ 3 มีสงสารเป็นล้อแล่นไปในกาลอันไม่มีเบื้องต้น พระองค์
ดำรงอยู่บนปฐพีคือศีล ด้วยพระบาทคือความเพียร ณ โพธิมณฑล ทรงถือ
ขวานคือญาณอันกระทำให้สิ้นกรรม ด้วยพระหัตถ์คือศรัทธาแล้วทรงกำจัดซี่กำ
ทั้งปวงเสียได้ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงพระนามว่า อรหํ เพราะกำจัดซี่กำ
เสียได้ อนึ่ง เพราะพระองค์เป็นทักขิไณยบุคคลผู้เลิศ จึงสมควรรับปัจจัยมีจีวร
เป็นต้น และเครื่องสักการะและความเคารพเป็นต้น เพราะฉะนั้น พระองค์จึง
ทรงพระนามว่า อรหํ เพราะเป็นผู้ควรแก่ปัจจัยเป็นต้น. อนึ่ง พระองค์ไม่ทรง
ทำความชั่วไม่ว่าในที่ไหน ๆ เหมือนคนพาลสำคัญตนว่าเป็นบัณฑิต บางพวก
ในโลกย่อมทำบาปในที่ลับ เพราะเกรงจะไม่มีใครสรรเสริญ เพราะฉะนั้น
พระองค์จึงทรงพระนามว่า อรหํ เพราะไม่มีความลับในการทำบาป.
อนึ่ง ในบทว่า อรหํ นี้ มีคาถาดังนี้
อารกตฺตา หตตฺตา จ กิเลสารีน โส มุนิ
หตสงฺสารจกฺกาโร ปจฺจยาทีน จารโห
น รโห กโรติ ปาปานิ อรหํ เตน ปวุจฺจติ

พระมุนีนั้น เพราะเป็นผู้ไกลจาก
กิเลสและเพราะเป็นผู้กำจัดข้าศึก คือ กิเลส
เสียได้ เป็นผู้กำจัดซี่วงล้อคือสังสารจักรเสีย
ได้และเป็นผู้ควรแก่ปัจจัยเป็นต้น ไม่ทำบาป
ในที่ลับ ด้วยเหตุนั้น บัณฑิตจึงขนานพระ-
นามว่า อรหํ.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า สมฺมาสมพุทฺโธ เพราะตรัสรู้
สัจธรรมโดยชอบ และด้วยพระองค์เอง. ทรงพระนามว่า วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน
เพราะประกอบด้วยวิชชาอันบริสุทธิ์สมบูรณ์และด้วยจรณะอันสูงสุด. ทรง
พระนามว่า สุคโต เพราะเสด็จไปดี เพราะเสด็จไปสู่ฐานะอันดี เพราะเสด็จ
ไปด้วยดี และเพราะตรัสรู้โดยชอบ. ทรงพระนามว่า โลกวิทู เพราะทรงรู้
โลกด้วยประการทั้งปวง. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงรู้สังขาร
โลกอันมีขันธ์และอายตนะเป็นต้น โดยประการทั้งปวง คือ โดยสภาวะ โดย
สมุทัย โดยนิโรธ โดยอุบายแห่งนิโรธ. ทรงรู้สังขารโลกแม้โดยประการ
ทั้งปวงอย่างนี้ คือ
โลกหนึ่ง ได้แก่ สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงอยู่ได้ด้วยอาหาร.
โลกสอง คือ นามและรูป.
โลกสาม คือ เวทนาสาม.
โลกสี่ คือ อาหารสี่.
โลกห้า คือ อุปาทานขันธ์ห้า.
โลกหก คือ อายตนะภายในหก.
โลกเจ็ด คือ วิญญาณฐิติเจ็ด.
โลกแปด คือ โลกธรรมแปด.
โลกเก้า คือ สัตตาวาสเก้า.

โลกสิบ คือ อายตนะสิบ.
โลกสิบสอง คือ อายตนะสิบสอง.
โลกสิบแปด คือ ธาตุสิบแปด.
ทรงรู้สัตว์โลกแม้โดยประการทั้งปวง คือ ทรงรู้อัธยาศัยของสัตว์
ทั้งหลาย ทรงรู้กิเลสอันนอนเนื่องอยู่ในสันดานของสัตว์ทั้งหลาย ทรงรู้จริง
ทรงรู้อารมณ์ ทรงรู้สัตว์มีธุลีคือกิเลสน้อย สัตว์มีธุลีคือกิเลสมาก สัตว์มีอินทรีย์
กล้า สัตว์มีอินทรีย์อ่อน สัตว์มีอาการดี สัตว์มีอาการชั่ว สัตว์ให้รู้ได้ง่าย
สัตว์ให้รู้ได้ยาก สัตว์เป็นภัพพะ (ควรตรัสรู้ได้) สัตว์เป็นอภัพพะ (ไม่ควร
ตรัสรู้). อนึ่ง จักรวาลหนึ่งโดยยาวและโดยกว้าง หนึ่งล้านสองแสนสามพัน
สี่ร้อยห้าสิบโยชน์ แต่โดยรอบสามล้านหกแสนหนึ่งหมื่นสามร้อยห้าสิบโยชน์.
ในบทว่า โลกวิทู นั้นพึงทราบต่อไปนี้
แผ่นดินนี้นับด้วยความหนาสองแสน
สี่หมื่นโยชน์ (ตั้งอยู่บนน้ำ) น้ำตั้งอยู่บนลม
ด้วยความหนาสี่แสนแปดหมื่นโยชน์ ลมอุ้ม
ขึ้นสู่ท้องฟ้ามีความหนาเก้าแสนหกหมื่น
นี้คือสัณฐานของโลก.

เมื่อโลกสัณฐานอย่างนี้ พึงทราบต่อไปว่า
ภูเขาสิเนรุสูงสุดในบรรดาภูเขา หยั่ง
ลึกลงไปในมหาสมุทร แปดหมื่นสี่พันโยชน์
สูงขึ้นไปก็เท่านั้นเหมือนกัน แต่นั้นภูเขา
ใหญ่อันเป็นทิพย์ อันวิจิตรด้วยแก้วนานา
ชนิด จมลงในมหาสมุทรและผุดขึ้นตาม
ลำดับโดยประมาณครึ่งหนึ่ง ๆ คือ ภูเขา

ยุคันธระ อิสินธระ กรวิกะ สุทัสสนะ
เนมินธระ วินตกะ อัสสกัณณะ
ภูเขาทั้ง 7 นี้ ล้วนมีหินขนาดใหญ่
อยู่โดยรอบภูเขาสิเนรุ เป็นที่อยู่ของมหาราช
เทวดาและยักษ์สิงสถิตอยู่
ภูเขาหิมพานต์สูงห้าร้อยโยชน์ โดย
ยาว และโดยกว้างสามพันโยชน์ ประดับด้วย
ยอดแปดหมื่นสี่พันยอด ภูเขาย่อมด้วยต้นไม้
35 โยชน์โดยรอบ ต้นไม้และกิ่งไม้ยาว 50
โยชน์ กว้าง โยชน์ ต้นไม้รอบ ๆ มี
ลำต้นขนาด 3 โยชน์บ้าง 5 โยชน์ระหว่าง ใด
โดยรอบลำต้นตลอดปลายกิ่ง 50 โยชน์
แผ่ออกไป 100 โยชน์ สูงขึ้นไปก็เท่านั้น
เหมือนกัน ต้นไม้นั้นชื่อว่า ต้นชมพู ด้วย
อานุภาพของต้นชมพูจึงเรียก ชมพูทวีป
ต้นชมพูหยั่งลงในห้วงน้ำใหญ่ สองหมื่น
แปดพันโยชน์ สูงขึ้นก็เท่านั้นเหมือนกัน
ศีลาจักรวาลที่ผุดขึ้นตั้งล้อมภูเขาทั้งหมด
สำเร็จเป็นจักรวาล.

ในบทว่า โลกวิทู นั้นพึงทราบวินิฉัยต่อไป จันทมณฑล 49 โยชน์
สุริยมณฑล 50 โยชน์ ดาวดึงสพิภพหนึ่งหมื่นโยชน์ อสุรภพ อเวจีมหานรก
และชมพูทวีปก็เหมือนกัน อมรโคยาน ทวีปเจ็ดพันโยชน์ ปุพวิเทหทวีป
ก็เหมือนกัน อุตรกุรุทวีปแปดพันโยชน์ มหาทวีปหนึ่ง ๆ ในที่นี้มีทวีปน้อย

ห้าร้อย ๆ เป็นบริวาร. ทั้งหมดนั้นเป็นจักรวาล เป็นโลกธาตุหนึ่ง ในระหว่าง
จักรวาล เป็นโลกันตริยนรก.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้โอกาสโลกด้วยประการทั้งปวงว่า จักรวาล
ไม่มีที่สุด โลกธาตุไม่มีที่สุด ทรงรู้ด้วยพุทธญาณไม่มีที่สุด. พึงทราบว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นโลกวิทู เพราะทรงรู้โลกด้วยประการทั้งปวง
ด้วยประการฉะนี้.
ทรงพระนามว่า อนุตฺตโร เพราะไม่มีไคร ๆ ประเสริฐกว่า ด้วย
คุณของพระองค์.
ทรงพระนามว่า ปุริสทมฺมสารถิ เพราะยังบุรุษที่พอฝึกได้ให้แล่น
ไป โดยอุบายแนะนำอันแนบเนียน.
ทรงพระนามว่า สตฺถา เพราะทรงพร่ำสอน และทรงให้ไตร่ตรองคาม
ควรด้วยทิฏฐธัมมิกประโยชน์ สัมปรายิกประโยชน์ และปรมัตถประโยชน์
การถือกำเนิดเป็นเทวดาและมนุษย์ด้วยกำหนดอย่างอุกฤษฎ์ และด้วยการกำหนด
ถึงบุคคลที่สมควร แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงพร่ำสอนคนสัตว์ทั้ง-
หลายมีนาคเป็นต้นด้วยประโยชน์เป็นโลกิยะ. ชื่อว่าผู้ที่ควรแนะนำได้ยังมีอยู่
ทรงพระนามว่า พุทฺโธ เพราะตรัสรู้ทุกอย่างด้วยชื่ออันมีในที่สุดเเห่ง
วิโมกข์. ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ภาคฺยวา ภคฺควา ยุตฺโต ภเคหิ จ วิภตฺตวา
ภตฺตวา วนฺตคมโน ภเวสุ ภควา ตโต
เป็นผู้มีโชค เป็นผู้ทำลายกิเลส เป็น
ประกอบด้วยโชคทั้งหลาย เป็นผู้แจก เป็น
ผู้จำแนก เป็นผู้คายการไปในภพทั้งหลาย
ฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า ภควา.

นี้เป็นความสังเขปในบทนี้. ส่วนโดยพิสดารท่านกล่าวบทเหล่านี้ไว้ใน
วิสุทธิมรรคแล้ว.
บทว่า โส อิมํ โลกํ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงทำ
โลกนี้. บัดนี้ควรชี้แจงข้อที่ควรกล่าว. บททั้งหลายว่า สเทวกํ เป็นต้นมีนัย
ดังได้กล่าวแล้ว ในกสิภารทวาชสูตรและอาฬวกสูตรเป็นต้น. บทว่า สยํ แปลว่า
เอง คือ ควรแนะนำผู้อื่น. บทว่า อภิญฺญา ได้แก่ด้วยพระปัญญาอันยิ่ง.
บทว่า สจฺฉิกตฺวา คือทำให้ประจักษ์. บทว่า ปเวเทติ คือ ให้รู้ ให้แจ้ง
ให้ชัด.
บทว่า โส ธมฺมํ เทเสติ ฯเปฯ ปริโยสานกลฺยาณํ พระองค์
ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ความว่า พระผู้-
มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นทรงอาศัยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย ทรงละความสุข
เกิดแต่วิเวกแล้วทรงแสดงธรรม. เมือทรงแสดงธรรมนั้นน้อยก็ตาม มากก็ตาม
ทรงแสดงมีประการงามในเบื้องต้นเป็นอาทิ. ทรงแสดงอย่างไร เพราะแม้
คาถาหนึ่งก็ทำความเจริญได้โดยรอบ งามในเบื้องต้นด้วยบทที่หนึ่งของธรรม
งามในท่ามกลางด้วยบทที่สอง งามในที่สุดด้วยบทสุดท้าย.
พระสูตรที่มีอนุสนธิเป็นอันเดียวกัน งามในเบื้องต้น ด้วยนิทาน
งามในที่สุดด้วยบทสรุป งามในท่ามกลางด้วยบทที่เหลือ.
พระสูตรที่มีอนุสนธิต่างกัน งามในเบื้องต้นด้วยอนุสนธิต้น งามใน
ที่สุดด้วยบทสุดท้าย งามในท่ามกลางด้วยบทที่เหลือ.
ศาสนธรรมทั้งสิ้นงามในเบื้องต้นด้วยศีลอันเป็นประโยชน์ของตน งาม
ในท่ามกลางด้วยสมถะ วิปัสสนา มรรค และผล งามในที่สุดด้วยนิพพาน.
อีกอย่างหนึ่ง งามในเบื้องต้นด้วยศีลเเละสมาธิ งามในท่ามกลางด้วย
วิปัสสนาและมรรค งามในที่สุดด้วยผลและนิพพาน.

อีกอย่างหนึ่ง งามในเบื้องต้น เพราะการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
งามในท่ามกลาง เพราะพระธรรมเป็นธรรมที่ดี งามในที่สุด เพราะการปฏิบัติ
ชอบของพระสงฆ์
อีกอย่างหนึ่ง งามในเบื้องต้น ด้วยการตรัสรู้ยิ่ง เพราะฟังธรรม
นั้นแล้วเห็นจริง เพราะผู้ปฏิบัติพึงบรรลุได้ งามในท่ามกลางด้วยการตรัสรู้
ของพระปัจเจกพุทธเจ้า งามในที่สุดด้วยการตรัสรู้ของพระสาวก.
อนึ่ง เมื่อฟังธรรมนั้น ย่อมนำมาซึ่งความงามด้วยการฟัง เพราะข่ม
นิวรณ์เป็นต้นได้ เพราะฉะนั้น จึงงามในเบื้องต้น เมื่อปฏิบัติย่อมนำมาซึ่ง
ความงามในการปฏิบัติ เพราะนำมาซึ่งความสุขอันเกิดแต่สมถะและวิปัสสนา
เพราะฉะนั้น จึงงามในท่ามกลาง อนึ่งครั้นปฏิบัติอย่างนั้น แล้ว เมื่อสำเร็จผล
แห่งการปฏิบัติ ย่อมนำมาซึ่งความงามด้วยผลแห่งการปฏิบัติ เพราะนำมาซึ่ง
ความเป็นผู้คงที่ เพราะฉะนั้น จึงงามในที่สุด.
อนึ่ง งามในเบื้องต้น เพราะเป็นแดนเกิดแห่งที่พึ่ง งามในท่ามกลาง
เพราะบริสุทธิ์ด้วยประโยชน์ งามในที่สุดเพราะบริสุทธิ์ด้วยกิจ เพราะฉะนั้น
พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงธรรมน้อยก็ตามมากก็ตาม
ย่อมทรงแสดงธรรมมีลักษณะอัน งามในเบื้องต้นเป็นต้น.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ ดังต่อไปนี้
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงธรรมนี้ ย่อมประกาศ
ศาสนพรหมจรรย์และมรรคพรหมจรรย์ทรงแสดงโดยนัยต่าง ๆ ชื่อว่าพร้อมทั้ง
อรรถ เพราะสมบูรณ์ด้วยอรรถตามความเกิดอย่างไร ชื่อว่าพร้อมทั้งพยัญชนะ
เพราะความสมบูรณ์ด้วยพยัญชนะ ชื่อว่าพร้อมทั้งอรรถเพราะประกอบเสมอด้วย
ความคล้ายกัน การประกาศ การขยายความ การจำแนก การทำให้ง่าย การ
บัญญัติและบทแห่งอรรถ ชื่อว่า พร้อมทั้งพยัญชนะ เพราะสมบูรณ์ด้วยอักขระ

บท พยัญชนะ อาการ ภาษาและการแนะนำ ชื่อว่า พร้อมทั้งอรรถ เพราะ
ลึกซึ้งด้วยอรรถ และลึกซึ้งด้วยปฏิเวธ ชื่อว่า พร้อมทั้งพยัญชนะ เพราะ
ลึกซึ้งด้วยธรรม ลึกซึ้งด้วยการแสดง ชื่อว่า พร้อมทั้งอรรถ เพราะเป็นวิสัย
แห่งการแตกฉานด้วยอรรถและปฏิภาณ ชื่อว่าพร้อมทั้งพยัญชนะ เพราะเป็น
วิสัยแห่งการแตกฉานด้วยธรรมและภาษา ชื่อว่าพร้อมทั้งอรรถ เพราะยังชน
ผู้พิจารณาให้เลื่อมใส โดยรู้สึกว่าเป็นบัณฑิต พร้อมทั้งพยัญชนะ เพราะยัง
โลกิยชนให้เลื่อมใส โดยความเป็นสิ่งควรเธอได้ ชื่อว่าพร้อมทั้งอรรถ เพราะ
ประสงค์ความลึกซึ้ง ชื่อว่าพร้อมทั้งพยัญชนะ เพราะเป็นบทง่าย ชื่อว่าบริบูรณ์
สิ้นเชิง เพราะบริบูรณ์ทั้งสิ้นโดยที่ไม่มีสิ่งควรนำเข้าไป ชื่อว่าบริสุทธิ์เพราะ
ไม่มีโทษโดยที่ไม่มีสิ่งควรนำออกไป ชื่อว่า พรหมจรรย์ เพราะเป็นธรรม
อันผู้เป็นพรหมคือผู้ประเสริฐควรประพฤติ และเพราะความที่ธรรมเหล่านั้น
เป็นสิ่งควรประพฤติ เพราะกำหนดเอาสิกขา 3 ฉะนั้นเกณิยชฎิลจึงกล่าวว่า
สาตฺถํ สพฺยญฺชนํ ฯเปฯ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสสิ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์
สิ้นเชิง ดังนี้.
อีกประการหนึ่ง เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงธรรม
พร้อมด้วยเหตุและพร้อมด้วยเรื่องที่เกิดขึ้น จึงทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น
เมื่อจะทรงแสดงธรรมงามในท่ามกลางโดยสมควรแก่เวไนยชนทั้งหลายและโดย
ประกอบด้วยเหตุและอุทาหรณ์ เพราะไม่ให้ความวิปริต และเมื่อจะทรงแสดง
ธรรมงามในที่สุดโดยให้ผู้ฟังได้ศรัทธาและโดยสรุป จึงทรงประกาศพรหมจรรย์.
ท่านกล่าวธรรมนั้น ชื่อว่า พร้อมทั้งอรรถ เพราะฉลาดในอธิคมตามลำดับ
ชื่อว่า พร้อมทั้งพยัญชนะ เพราะฉลาดในอาคมแห่งปริยัติ ชื่อว่าบริบูรณ์
สิ้นเชิง เพราะประกอบด้วยธรรมขันธ์ 5 มีศีลเป็นต้น ชื่อว่าบริสุทธิ์ เพราะ
ไม่มีอุปกิเลส และเพราะไม่เพ่งถึงโลกามิสอันเป็นไปเพื่อความข้ามพ้น ชื่อว่า

พรหมจรรย์ เพราะเป็นสิ่งควรประพฤติของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า
และพระสาวกทั้งหลาย ที่ชื่อว่า เป็นพรหม ด้วยอรรถว่าเป็นผู้ประเสริฐ ฉะนั้น
เกณิยชฎิลจึงกล่าวว่า โส ธมฺมํ เทเสติ ฯเปฯ พฺรหฺมจริยํ ปกาเสติ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่าม
กลางงามในที่สุด ฯลฯ ทรงประกาศพรหมจรรย์ ดังนี้.
บทว่า สาธุ โข ปน คือ เป็นความดีแล. อธิบายว่า นำประโยชน์
นำความสุขมาให้.
บทว่า ธมฺมิยา กถาย ด้วยธรรมีกถา ได้แก่ อันประกอบด้วยอานิสงส์
ของน้ำปานะ. ด้วยว่าในตอนเย็นเกณิยชฎิลนี้ได้กล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จ
มา เป็นผู้มีแต่มือเปล่า ๆ จะไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ละอายคิดว่า น้ำปานะย่อม
สมควรแก่ท่านผู้เว้นการบริโภคในเวลาวิกาล ดังนี้ จึงให้หาบน้ำพุทราที่ปรุง
อย่างดีด้วยคาน 500 หาบ แล้วใป. ดังที่ท่านกล่าวไว้ในเภสัชชขันธกะว่า
ครั้งนั้นแล เกณิยชฎิลได้เกิดปริวิตกว่า เราควรนำเข้าไปถวายแด่พระสมณโคดม
ดีหรือหนอ. ทั้งหมดพึงทราบดังต่อไปนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้แจงเกณิยชฎิลให้เห็นจริงถึงอานิ-
สงส์ของการถวายน้ำปานะ. ด้วยกถาประกอบด้วยอานิสงส์ของการถวายน้ำปานะ
อันสมควรในขณะนั้น เหมือนทรงชี้แจงเจ้าศากยะทั้งหลายด้วยกถาประกอบด้วย
อานิสงส์ของคารถวายที่พักในเสขสูตร ทรงชี้แจงกุลบุตร 3 คนด้วยกถาประกอบ
ด้วยรสแห่งสามัคคีในโคสิงคสาลวนสูตร ทรงชี้แจงภิกษุทั้งหลายผู้มีชาติภูมิ
เดียวกัน ด้วยกถาประกอบด้วยกถาวัตถุ 10 ในรถวินีตสูตรฉะนั้น ทรงให้

เกณิยชฎิลขวนขวายสมาทานเพื่อทำบุญเห็นปานนั้นต่อไป ทรงให้เกณิยชฎิล
เกิดอุตสาหะอาจหาญยิ่งขึ้น ทรงสรรเสริญให้เกณิยชฎิลร่าเริงด้วยผลวิเศษอัน
จะมีในภพนี้และภพหน้า. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธมฺมิยา กถาย
สมฺปหํเสสิ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้เกณิยชฎิลร่าเริงด้วยธรรมีกถาดังนี้.
เกณิยชฎิลเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างยิ่ง จึงกราบทูลนิมนต์
พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิเสธเขาถึง 3 ครั้งแล้วจึงรับ
นิมนต์. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า อถ โข เกณิโย ชฏิโล ฯเปฯ
อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวน
ครั้งนั้นแล เกณิยชฎิลทราบว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์ด้วยดุษณีภาพ. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปฏิเสธเพื่อ
อะไร. เพราะวิงวอนบ่อย.ๆ เกณิยชฎิลจักมีความเจริญด้วยบุญและจักตระเตรียม
ให้มากยิ่งขึ้น ของที่เตรียมไว้สำหรับภิกษุ 1,250 รูป ก็จะถึงแก่ภิกษุ 1,550
รูป. หากจะถามว่า ภิกษุอีก 300 รูปมาจากไหน. ตอบว่า ก็เมื่อเกณิยชฎิล
ยังไม่ได้เตรียมอาหารนั่นแหละ เสลพราหมณ์พร้อมด้วยมาณพ 300 คน
จักบวช พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นเหตุนั้นจึงตรัสอย่างนี้.
บทว่า มิตฺตามจฺเจ ได้แก่ มิตรและกรรมกร. บทว่า ญาติสา-
โลหิเต
ได้แก่ บุตรธิดาเป็นต้นถือกำเนิดเดียวกันมีเลือดเสมอกันและเผ่าพันธุ์
ที่เหลือ. บทว่า เยน คือเพราะเหตุใด. บทว่า เม แปลว่า ของข้าพเจ้า.
บทว่า กายเวยฺยาวฏิกํ คือขวนขวายด้วยกาย. บทว่า มณฺฑลมาลํ ปฏิ-
ยาเทติ
เกณิยชฎิลตกแต่งโรงปะรำเอง คือ ตกแต่งมณฑปดาดเพดานชาว.
บทว่า ติณฺณํ เวทานํ ได้แก่ อิรุพเพท ยชุพเพท สามเวท.
รวมคัมภีร์นิฆัณฑุศาสตร์ และคัมภีร์เกฏุภศาสตร์เป็นสนิฆัณฑุเกฎุภศาสตร์.
บทว่า นิฆณฺฑุ คือคัมภีร์บอกคำต่างกันแต่ความหมายเหมือนกันของต้นไม้

เป็นต้นชื่อว่านิฆัณฑุ. บทว่า เกฏุภํ คือความเหมือนและความกำหนดคำ
กิริยา เป็นคัมภีร์เพื่อช่วยกวีทั้งหลาย. พร้อมกับประเภทอักษรแห่งประเภท
เป็นไปกับอักขระ. บทว่า อกฺขรปฺปเภโท ได้แก่การศึกษาและภาษา. บทว่า
อิติหาสปญฺจมานํ ชื่อว่า อิติหาสปญฺจมา เพราะทำอาถรรพนเวทเป็นที่ 4
แล้วมีอิติหาสอันเป็นคำเก่าประกอบด้วยคำเช่นนี้ว่า อิติห อาส อิติห อาส
เป็นที่ 5. ประเภทอักษรเหล่านั้นมีอิติหาสเป็นที่ 5. เสลพราหมณ์เป็นผู้เข้าใจ
บท เข้าใจไวยากรณ์เพราะเรียนและรู้บทและไวยากรณ์อันนอกเหนือจากบท
นั้น. เสลพราหมณ์ชื่อว่าเป็นผู้ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะและตำราทำนายมหา-
ปุริสลักษณะ เพราะเป็นผู้เรียนจบครบบริบูรณ์ในคัมภีร์โลกายตะและคัมภีร์
วิตัณฑวาทศาสตร์ และคัมภีร์มหาปุริสลักษณศาสตร์ 12,000 อันเป็นคัมภีร์
หลักของคัมภีร์มหาปุริสลักษณะ ท่านอธิบายว่า ไม่มีเสื่อม. ผู้ใดไม่สามารถ
ทรงจำคัมภีร์เหล่านั้นได้โดยอรรถและโดยคันถะ ผู้นั้นชื่อว่าเสื่อม.
วิหารที่มีระเบียงเป็นทางเดินชื่อว่าชังฆาวิหาร. ท่านอธิบายว่า ทางที่
เที่ยวไปไม่ไกลเพื่อเหยียดแข้ง เพื่อบรรเทาความเมื่อยอันเกิดแต่นั่งนานเป็นต้น.
บทว่า อนุจงฺกมมาโน ได้แก่ เดินไป. บทว่า อนุวิจรมาโน ได้แก่
เดินเที่ยวไปข้างโน้นข้างนี้. บทว่า เกณิยสฺส ชฏิลสฺส อสฺสโม ได้แก่
อาศรมอันเป็นที่อยู่ของเกณิยชฎิล.
บทว่า อาวาโห ได้แก่ นำหญิงสาวมา. บทว่า วิวาโห ได้แก่
ให้หญิงสาวไป. บทว่า มหายญฺโญ ได้แก่ การบูชาใหญ่. บทว่า มาคโธ
ได้แก่ ผู้เป็นใหญ่ของชาวมคธ. ชื่อเสนิยะ เพราะประกอบด้วยเสนาหมู่ใหญ่.
บทว่า พิมฺพิ คือทองคำ. เพระฉะนั้น ชื่อว่าพิมพิสาร เพราะมีวรรณะเช่นกับ
ทองคำแท่ง. บทว่า โส เม นิมนฺติโต ความว่า ข้าพเจ้านิมนต์พระผู้มี
พระภาคเจ้ามา.

ลำดับนั้น พราหมณ์ได้ยินเสียงว่า พุทธะ เพราะความที่ตนสร้าง
สมบุญมาก่อน จึงเหมือนรดด้วยน้ำอมฤต มีความประหลาดใจกล่าวว่า เกณิยะ
ผู้เจริญ ท่านกล่าวว่า พุทฺโธ หรือ. เกณิยะบอกตามความจริง กล่าวว่า
ท่านเสละผู้เจริญ ข้าพเจ้ากล่าวว่า พุทฺโธ เพื่อให้แน่นอน เสละ ได้ถามย้ำอีก.
เกณิยะก็บอกอย่างนั้น.
ลำดับนั้น เสลพราหมณ์เมื่อจะแสดงความที่เสียงว่าพุทธะหาได้ยากแม้
ตลอดแสนกัปจึงกล่าวว่า แม้เสียงประกาศว่า พุทฺโธ นี้แลก็หาได้ยากในโลก.
ลำดับนั้น พราหมณ์ได้ยินเสียงว่าพุทธะจึงคิดใคร่จะทดลองดูว่า ท่าน
ผู้นั้นเป็นพุทธะจริง หรือเป็นพุทธะเพียงชื่อเท่านั้น จึงได้กล่าวว่า อาคตานิ
โข ปน ฯเปฯ วิวฏจฺฉโท
ความว่า พระมหาบุรุษผู้ประกอบด้วยมหา-
ปุริสลักษณะ 32 ประการมาในมนต์ของพวกเรา ฯลฯ ถ้าเสด็จออกบวชเป็น
บรรพชิตจะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้ว
ในโลก.
บทว่า มนฺเตสุ คือในเวททั้งหลาย. เทวดาชั้นสุทธาวาสได้ข่าวว่าพระ-
ตถาคตจักทรงอุบัติจึงรีบแปลงเพศเป็นพราหมณ์ ใส่พระลักษณะเข้าไปแล้วบอก
เวททั้งหลาย ด้วยคิดว่า บรรดาสัตว์ผู้มีศักดิ์ใหญ่จักรู้จักพระตถาคต โดยดูตาม
พระลักษณะนั้น. ด้วยเหตุนั้นมหาปุริสลักษณะจึงมาในเวททั้งหลายก่อน แต่ครั้น
พระตถาคตเสด็จปรินิพพานแล้ว เวททั้งหลายก็หายไปโดยลำดับเดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว
บทว่า มหาปุริสสฺส ได้แก่ บุรุษผู้ใหญ่ด้วยคุณมีความตั้งใจ การสมาทาน
และญาณเป็นต้น. บทว่า เทฺวว คติโย ได้แก่ ความสำเร็จสองอย่างนั้นเอง.

อนึ่ง คติ ศัพท์นี้ย่อมเป็นไปในประเภทของภพในเประโยคมีอาทิว่า ปญฺจ
ปนิมา โข สารีปุตฺต คติโย
ดูก่อนสารีบุตร ๆ ก็คติเหล่านี้แลมี 5, เป็นไป
ในที่เป็นที่อยู่ในประโยคมีอาทิว่า คติ มิคานํ ปวนํ ป่าใหญ่เป็นที่อยู่ของ
เนื้อทั้งหลาย, เป็นไปในปัญญาในประโยคมีอาทิว่า เอวํ อธิมตฺตคติมนฺ โต
มีปัญญายิ่งอย่างนี้, เป็นไปในความบริสุทธิ์ในประโยคมีอาทิว่า คติคตํ ถึงความ
บริสุทธิ์. แต่ในที่นี้พึงทราบว่าเป็นไปในความสำเร็จ. ผู้ประกอบด้วยมหาปุริส-
ลักษณะถึงจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิก็จริง แต่ไม่เป็นพระพุทธเจ้า แต่ชน
ทั้งหลายก็เรียกกันไปว่าอย่างนั้นอย่างนี้แหละ โดยสามัญสำนึก เพราะฉะนั้น
จึงกล่าวว่า เยหิ สมนฺนาคตสฺส ผู้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ 32
ประการ. บทว่า สเจ อคารํ อชฺฌาวสติ คือ ถ้าอยู่ครองเรือน. บทว่า
ราชา โหติ จกฺกวตฺตี จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ความว่า ชื่อว่า
ราชา เพราะยังชาวโลกให้ยินดีด้วยอัจฉริยธรรมและด้วยสังคหวัตถุ ชื่อว่า
จักรพรรดิ เพราะยังจักรรัตนะให้หมุนไป ย่อมหมุนไปด้วยจักรอันเป็น
สมบัติ 4 อย่าง และยังผู้อื่นให้หมุนไปด้วยจักรสมบัติเหล่านั้น มีการหมุนไป
แห่งจักรคืออิริยาบถเพื่อประโยชน์ผู้อื่น. ในสองบทนี้ บทว่า ราชา เป็นชื่อ
บทว่า จกฺกวตตี เป็นวิเสสนะ. ชื่อ ธมฺมิโก เพราะประพฤติโดยธรรม.
อธิบายว่า เป็นไปด้วยความรู้ ด้วยความเสมอ. ชื่อ ธมฺมราชา เพราะได้
ราชสมบัติโดยธรรมแล้วเป็นพระราชา. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อ ธมฺมิโก เพราะ
บำเพ็ญธรรมเพื่อประโยชน์ผู้อื่น. ชื่อ ธมฺมราชา เพราะบำเพ็ญเพื่อประโยชน์
ตน. ชื่อว่า จาตุรนฺโต เพราะเป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร 4 เป็น

ขอบเขต. อธิบายว่า เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีสมุทร 4 เป็นที่สุด และมีทวีป 4
เป็นเครื่องประดับ. ชื่อว่า วิชิตาวี เพราะทรงชนะข้าศึกมีความโกรธเป็นต้น
ในภายในและพระราชาทั้งหมดในภายนอก. บทว่า ชนปทตฺถาวริยปฺปตฺโต
มีราชอาณาจักรมั่นคง คือถึงความเจริญ ความมั่นคงในชนบทอันใคร ๆ ไม่
สามารถทำให้หวั่นไหวได้. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ชนปทตฺถาวริยปตฺโต เพราะ
ชนบทถึงความมั่นคงในความเจริญนั้น ไม่มีการขวนขวายยินดีในการงานของ
ตน ไม่หวั่นไหว ไม่สั่นสะเทือนบ้าง. บทว่า เสยฺยถีทํ เป็นนิบาต. ความว่า
รัตนะ 7 มีอะไรบ้าง. รัตนะ 7 เหล่านี้คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว 1 ม้าแก้ว 1
แก้วมณี 1 นางแก้ว 1 คหบดีแก้ว 1 ปริณายกแก้ว 1 ทั้งหมดท่านกล่าวไว้แล้ว
ในอรรถกถารัตนสูตร.
ในรัตนะเหล่านั้น พระเจ้าจักรพรรดิทรงชนะแว่นแคว้นด้วยจักรแก้ว
ทรงเที่ยวไปตามสบายในแว่นแคว้นด้วยช้างแก้วและม้าแก้ว ทรงรักษาแว่น-
แคว้นด้วยปริณายกแก้ว เสวยสุขอันเป็นเครื่องอุปโภคบริโภคด้วยแก้วที่เหลือ.
พระเจ้าจักรพรรดินั้นทรงใช้ความสามารถในทางเข้มแข็งด้วยจักรแก้วที่หนึ่ง
ทรงใช้ความสามารถในการปกครองด้วยช้างแก้วม้าแก้วและคหบดีแก้ว ทรงใช้
ความสามารถในทางความคิดต่อเนื่องด้วยปริณายกแก้วเป็นอันครบบริบูรณ์ด้วย
ดี. ผลของการใช้ความสามารถ 3 อย่าง ด้วยนางแก้วและแก้วมณี. พระเจ้าจักร-
พรรดินั้นเสวยโภคสุขด้วยนางแก้วและแก้วมณี เสวยอิสริยสุขด้วยแก้วที่เหลือ.
อนึ่ง พึงทราบโดยความต่างกัน แก้ว 3 อย่างอันต้นของพระเจ้าจักรพรรดินั้น
สำเร็จได้ด้วยอานุภาพแห่งกรรมที่ให้เกิดกุศลมูลคืออโทสะ แก้วอันกลางสำเร็จ

ด้วยอานุภาพแห่งกรรมที่ให้เกิดกุศลมูลคืออโลภะ แก้วอันสุดท้ายอันหนึ่ง
สำเร็จด้วยอานุภาพแห่งกรรมที่ให้เกิดกุศลมูลคืออโมหะ.
บทว่า ปโรสหสฺสํ คือมีมากกว่าพัน. บทว่า สูรา ล้วนกล้าหาญ
คือไม่ขลาด. บทว่า วีรงฺครูปา มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ คือ มีกายคล้าย
เทพบุตร. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวไว้อย่างนี้. แต่ความจริงในบทนี้มีดังนี้
บทว่า วีระ ท่านกล่าวว่ากล้าที่สุด องค์ของผู้กล้าชื่อว่า วีรังคะ ท่านอธิบายว่า
เหตุแห่งความกล้าชื่อว่า วีริยะ. ชื่อ วีรงฺครูปา เพราะมีรูปทรงสมเป็นผู้กล้า
อธิบายว่า ดุจมีสรีระสำเร็จด้วยความกล้า. บทว่า ปรเสนปฺปมทฺทินา
สามารถย่ำยีกองทัพของข้าศึกได้ อธิบายว่า หากข้าศึกประจัญหน้ากันสามารถ
ย่ำยีข้าศึกนั้นได้. บทว่า ธมฺเมน คือโดยธรรม ได้แก่ศีลห้า มีอาทิว่า ปาโณ
น หนฺตพฺโพ
ไม่ควรฆ่าสัตว์.
พึงทราบวินิจฉัยในบทน ว่า อรหํ โหติ สมฺมาสมฺพุทฺโธ โลเก
วิวฏจฺฉโท
จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีหลังคาคือกิเลสอันเปิด
แล้วในโลก. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่อว่า วิวฏจฺฉโท ผู้มีหลังคาคือกิเลส
อันเปิดแล้ว เพราะเมื่อโลกมืดมนด้วยกิเลส ถูกหลังคาคือกิเลสอันได้แก่ราคะ
โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ อวิชชา และทุจริต ทั้ง 7 อย่างปกปิดไว้
เป็นผู้เปิดหลังคาคือกิเลสนั้น ทำให้มีแสงสว่างตั้งอยู่โดยรอบ. พึงทราบว่าท่าน
กล่าวว่า วิวฏจฺฉทา เพราะเป็นผู้ควรบูชาโดยนัยแรก เพราะเหตุแห่งความ
เป็นผู้ควรบูชาโดยนัยที่สอง เพราะเหตุแห่งความเป็นพระพุทธะโดยนัยที่สามว่า
สมฺมาสมฺพุทฺโธ ดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชื่อว่า วิวฏจฺฉโท

เพราะเปิดและไม่ปิด. ท่านอธิบายว่า เว้นจากการหมุนเวียนและเว้นจากการปิด.
ด้วยเหตุนั้น จึงทรงพระนามว่า อรหํ เพราะไม่มีการหมุนเวียน และ สมฺมา
สมฺพุทฺโธ
เพราะไม่มีการปกปิด. เป็นอันท่านอธิบายเหตุทั้งสอง แห่งสองบท
ข้างต้นนั้นเอง. อนึ่ง ในบทนี้ความสำเร็จครั้งก่อนย่อมมีได้ด้วยเวสารัชชธรรม
ที่สอง ความสำเร็จครั้งที่สองย่อมมีได้ด้วยเวสารัชชธรรมที่หนึ่ง ความสำเร็จ
ครั้งที่สามย่อมมีได้ด้วยเวสารัชชธรรมที่สามและที่สี่. อนึ่ง พึงทราบว่าธรรม
จักษุสำเร็จก่อน พุทธจักษุสำเร็จครั้งที่สอง สมันตจักษุสำเร็จครั้งที่สาม. บัดนี้
เสลพราหมณ์ประสงค์จะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงกล่าวว่า กหํ ปน โภ
เกณิย ฯเปฯ สมฺมาสมฺพุทฺโธ
ท่านเกณิยะผู้เจริญ ก็บัดนี้พระอรหันต-
สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เจริญพระองค์นั้นประทับอยู่ที่ไหน.
พึงทราบวินิจฉัยในบทมีอาทิว่า เอวํ วุตฺเต เมื่อเสลพราหมณ์กล่าว
อย่างนี้แล้ว. บทว่า เยเนสา คือพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่โดยทิศภาคนั้น.
บทว่า นีลวนราชี ได้แก่ ทิวไม้มีสีเขียว. นัยว่าป่านั้นคล้ายแนวเมฆพระผู้มี
พระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่านั้น เกณิยชฎิลเมื่อจะชี้ป่านั้นจึงกล่าวว่า เยเนสา
โภ เสล นีลวนราชี
ท่านเสละผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ
ทิวไม้สีเขียวนั้น. ในบทว่า เยเนสา นั้น มีปาฐะที่เหลือในบทนี้ว่า โส วิหรติ
พระองค์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น. บทว่า เยน เป็นตติยาวิภัตติลงในอรรถแห่ง
สัตตมีวิภัตติ.
บทว่า ปเท ปทํ คือค่อย ๆ เดินตามกันมา. ห้ามการเดินเร็วด้วย
บทนั้น. บทว่า ทุราสทา หิ ให้ยินดีได้ยาก เสลพราหมณ์กล่าวถึงเหตุว่า

เพราะท่านผู้เจริญเหล่านั้นให้ยินดีได้ยาก ฉะนั้น ท่านผู้เจริญทั้งหลายจงมา
อย่างนี้. หากจะถามว่า เพราะเหตุไร จึงให้ยินดีได้ยาก. เพราะเที่ยวไปผู้เดียว
เหมือนราชสีห์. จริงอยู่ ท่านผู้เจริญทั้งหลายเหล่านั้นเที่ยวไปผู้เดียว เพราะ
ใคร่ความสงัด เหมือนราชสีห์เที่ยวไปผู้เดียว เพราะไม่ต้องการเพื่อน. เสล-
พราหมณ์ให้มาณพเหล่านั้นศึกษามารยาทด้วยบทมีอาทิว่า ยทา จาหํ. ในบท
เหล่านั้น บทว่า มา โอปาเตถ คืออย่าสอด อธิบายว่า อย่าพูดสอด. บทว่า
อาคเมตุ คือ จงรอ อธิบายว่า จงนิ่งอยู่ก่อนจนกว่าจะพูดจบ.
บทว่า สมนฺเวสิ คือแสวงหา. บทว่า เยภุยฺเยน คือได้เห็น
ส่วนมาก มิได้เห็นเป็นส่วนน้อย. แต่นั้นเสลพราหมณ์เมื่อจะแสดงมหาปุริส-
ลักษณะที่ไม่เห็น จึงกล่าวว่า ฐเปตฺวา เทฺว เว้นอยู่ 2 ประการ. บทว่า
กงฺขติ คือ เกิดสงสัยว่าจะพึงเห็นได้อย่างไรหนอ. บทว่า วิจิกิจฺฉติ
เคลือบแคลง คือ ยากที่จะค้นหา จึงไม่สามารถจะเห็นได้. บทว่า นาธิมุจฺจติ
ไม่เชื่อ คือ เพราะความเคลือบแคลงนั้นจึงไม่เชื่อ. บทว่า น สมฺปสีทติ
ไม่เลื่อมใส คือ ไม่เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระองค์มีลักษณะบริบูรณ์
แล้ว. ความสงสัยอย่างอ่อนท่านกล่าวด้วยบทว่า กงฺขา ความสงสัย สงสัย
อย่างกลางท่านใช้บทว่า วิจิกิจฺฉา ความเคลือบแคลง สงสัยอย่างแรงท่านใช้
บทว่า อนธิมุจฺจนตา ความไม่น้อมใจเธอ คือความที่จิตมืดมนด้วยธรรม
3 อย่างนั้นเพราะไม่เลื่อมใส. บทว่า โกโสหิเต ได้แก่ เร้นอยู่ในฝัก. บทว่า
วตฺถคุยฺเห ได้แก่ องคชาต. จริงอยู่ พระองคชาตของพระผู้มีพระภาคเจ้า
เร้นอยู่ในฝักเหมือนของช้าง มีสีเหมือนทองคำ เหมือนเม็ดในปทุม.

เสลพราหมณ์ไม่เห็นองคชาตนั้น เพราะปกปิดอยู่ในผ้า และไม่สังเกตเห็นว่า
พระชิวหาใหญ่ เพราะอยู่ภายในพระโอษฐ์ จึงสงสัยเคลือบแคลงในพระลักษณะ
ทั้งสองเหล่านั้น.
บทว่า ตถารูํป คือมีรูปอย่างไร ในบทนี้เราควรกล่าวอย่างไร. ท่าน
อธิบายว่า พระนาคเสนเถระถูกพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ทุกฺกรํ ภนฺเต
นาคเสน ภควตา กตํ
ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงทำสิ่งที่ทำได้ยาก. พระนาคเสนถามว่า ทำยากอย่างไร มหาบพิตร.
พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า ท่านพระนาคเสนผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง
โอกาสที่จะทำความละอายด้วยมหาชนแก่พรหมายุพราหมณ์ แก่อันเตวาสิกอุตตร.
พราหมณ์ แก่พราหมณ์ 16 คน ผู้เป็นอันเตวาสิกของพาวรีพราหมณ์ และแก่
มาณพ 300 คน ผู้เป็นอันเตวาสิกของเสลพราหมณ์. พระนาคเสนถวายพระพร
ว่า มหาบพิตร พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงแสดงพระคุยหะ พระองค์ทรงแสดง
พระฉายา มหาบพิตร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันดาลด้วยพระฤทธิ์ ทรงแสดง
ผ้านุ่ง ผ้ารัดกาย ผ้าห่ม เพียงรูปเงา. พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า เมื่อเห็น
พระฉายา ก็เป็นอันเห็นแล้วมิใช่หรือท่านผู้เจริญ. พระนาคเสนถวายพระพรว่า
มหาบพิตร ข้อนั้นยกไว้ สัตว์ผู้จะตรัสรู้เพราะเห็นหทัยรูปพึงดำรงอยู่ได้
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะทรงนำเนื้อพระหทัยออกแสดง. พระเจ้ามิลินท์ตรัส
ว่าข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญ พระคุณเจ้าฉลาดมาก.
บทว่า นินฺนาเมตฺวา คือนำออกแล้ว. ในบทนี้พึงทราบว่าพระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงประกาศถึงความที่พระชิวหายาวโดยสอดเข้าช่องพระกรรณ

ทั้งสอง ความที่พระชิวหาบางโดยสอดเข้าช่องพระนาสิกทั้งสอง, ความที่พระ
ชิวหาหนาโดยปิดพระนลาต.
บทว่า อาจริยปาจริยานํ ได้แก่ อาจารย์ทั้งหลายและอาจารย์ของ
อาจารย์ทั้งหลาย. บทว่า สเกวณฺเณ ได้แก่ คุณของตน.
ลำดับนั้นแล เสลพราหมณ์ได้ชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้า เฉพาะ
พระพักตร์ด้วยคาถาอันสมควรว่า
ปริปุณฺณกาโย สุรุจิ สุชาโต จารุทสฺสโน
สุวณฺณวณฺโณสิ ภควา สุสุกฺกทาโฒสิ วิริยวา
นรสฺส หิ สุชาตสฺส เย ภวนฺติ วิยญฺชนา
สพฺเพ เต ตว กายสฺมึ มหาปุริสลกฺขณา.
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์
มีพระกายบริบูรณ์ สวยงาม ประสูติดีแล้ว
มีพระเนตรงาม มีพระฉวีวรรณดุจทองคำ
มีพระเขี้ยวขาวดี มีความเพียร อวัยวะใหญ่
น้อยเหล่าใด มีแก่คนผู้เกิดดีแล้ว อวัยวะ
ใหญ่น้อยเหล่านั้นทั้งหมด ในพระกายของ
พระองค์ เป็นมหาปุริสลักษณะ.

บทว่า ปริปุณฺณกาโย ได้แก่ มีพระสรีระบริบูรณ์ เพราะเต็มด้วย
พระลักษณะทั้งหลาย และเพราะอวัยวะน้อยใหญ่ไม่เลว. บทว่า สุรุจิ ได้แก่
มีพระรัศมีแห่งพระสรีระงาม. บทว่า สุชาโต ได้แก่ ทรงบังเกิดดีแล้วด้วย

สมบัติคือสูงและกว้าง และด้วยสมบัติคือสัณฐาน. บทว่า จารุทสฺสโน
ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า จารุทสฺสโน เพราะดูงามไม่ทำให้ผู้ดูแม้ดู
ตั้งนานก็ไม่อิ่ม ไม่น่าเกลียด น่ารื่นรมย์. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า บทว่า
จารุทสฺสโน คือมีพระเนตรงาม. บทว่า สุวณฺณวณฺโณ คือมีพระฉวี
คล้ายทองคำ. บทว่า อสิ แปลว่า มี. บทนี้พึงประกอบเข้ากับบททุกบท.
บทว่า สุสุกฺกทาโฒสิ คือพระเขี้ยวขาวด้วยดี. จริงอยู่ พระรัศมีสีขาวอย่างยิ่ง
ซ่านออกจากพระเขี้ยวทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าดุจแสงจันทร์. ด้วยเหตุ
นั้น เสลพราหมณ์จึงกล่าวว่า สุสุกฺกทาโฒสิ. บทว่า มหาปุริสลกฺขณา
ความว่า เสลพราหมณ์กล่าวสรุปพยัญชนะที่กล่าวไว้ก่อนแล้ว โดยระหว่างบท.
บัดนี้ เสลพราหมณ์สรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยพระลักษณะที่ตนชอบ
อย่างยิ่ง ในบรรดาพระลักษณะเหล่านั้นกล่าวคำเป็นต้นว่า ปสนฺนเนตฺโต มี
พระเนตรแจ่มใส.
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าชื่อว่า ปสนฺนเนตฺโต มีพระเนตรแจ่มใส
เพราะสมบูรณ์ด้วยประสาททั้ง 5 ชนิด, ชื่อว่า สุมุโข มีพระพักตร์งาม เพราะ
มีพระพักตร์คล้ายมณฑลพระจันทร์เต็มดวง. ชื่อว่า พฺรหา มีพระกายใหญ่
เพราะสมบูรณ์ด้วยความสูงและความกว้าง, ชื่อว่า อุชุ มีพระกายตรง เพราะมี
พระกายตรงดุจกายพรหม, ชื่อว่า ปตาปวา มีรัศมีรุ่งเรือง เพราะมีความ
รุ่งโรจน์. อนึ่ง ในบทนี้แม้คำใดท่านกล่าวไว้ก่อนแล้ว คำนั้นท่านก็กล่าวซ้ำอีก
เพราะเป็นคำสรรเสริญโดยปริยายนี้ว่า มชฺเฌ สมณสงฺฆสฺส ในท่ามกลาง
หมู่สมณะ เพราะท่านผู้เป็นเช่นนี้ย่อมรุ่งเรื่อง ด้วยประการฉะนี้.

แม้ในคาถาที่นอกเหนือไปก็มีนัยนี้. บทว่า อุตฺตมวณฺณิโน คือ
เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยวรรณะอันอุดม. บทว่า ชมฺพุสณฺฑสฺส คือชมพูทวีป
เสลพราหมณ์เมื่อจะกล่าวพรรณนาความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ให้
ปรากฏ. อีกอย่างหนึ่ง พระเจ้าจักรพรรดิย่อมเป็นใหญ่ในทวีปทั้งสี่. บทว่า
ขตฺติยา คือเป็นกษัตริย์โดยชาติ. บทว่า โภชา คือ มีโภคสมบัติ. บทว่า
ราชาโน คือ พระราชาพระองค์ใดพระองค์หนึ่งครองราชสมบัติ. บทว่า
อนุยนฺตา ได้แก่ เสวกผู้ตามเสด็จ. บทว่า ราชาภิราชา คือเป็นพระราชา
ที่พระราชาบูชา ประสงค์เอาพระเจ้าจักรพรรดิ. บทว่า มนุชินฺโท คือเป็น
ใหญ่ในมนุษย์ เป็นใหญ่อย่างยิ่ง.
เมื่อเสลพราหมณ์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรง
ยังความปรารถนานี้ของเสลพราหมณ์ให้เต็มว่า ผู้ใดเป็นพระอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ผู้นั้นเมื่อเขากล่าวถึงคุณของตนย่อมทำตนให้ปรากฏ จึงตรัสว่า
ราชาหมสฺมิ เราเป็นราชา ดังนี้.
ในบทนั้นมีอธิบายดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนเสลพราหมณ์
ท่านย่อมขออันใดไว้ ท่านควรเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ เพราะเหตุนั้น ท่านจง
เป็นผู้มีความขวนขวายน้อยในข้อนี้ เราเป็นพระราชา เมื่อความเป็นพระราชา
มีอยู่พระราชาองค์อื่นแม้มีอยู่ย่อมปกครอง 100 โยชน์ 200 โยชน์ 300 โยชน์
400 โยชน์ 500 โยชน์ หรือ 1,000 โยชน์ แม้เป็นจักรพรรดิปกครองทวีป
ใหญ่ มีทวีป 4 เป็นเขตแดน ฉันใด เราไม่มีขอบเขตกำหนดไว้อย่างนั้น
เราเป็นธรรมราชาชั้นเยี่ยมปกครองโลกธาตุทั้งหลาย นับไม่ถ้วนโดยขวางตั้งแต่

ภวัคคพรหมถึงอเวจีเป็นที่สุด เราเป็นผู้เลิศกว่าสัตว์ประเภทไม่มีเท้าและสัตว์
สองเท้าเป็นต้น ไม่มีใครเปรียบกับเราได้ด้วยศีล ฯลฯ หรือวิมุตติญาณทัสสนะ
เราเป็นธรรมราชาชั้นเยี่ยมอย่างนี้ ยังจักรให้เป็นไปโดยธรรม คือโพธิปักขิย-
ธรรมอันมีสติปัฏฐานสี่เป็นต้นอย่างยอดทีเดียว เรายังอาณาจักรให้เป็นไป
โดยนัยมีอาทิว่า พวกท่านจงละสิ่งนี้ จงเข้าถึงสิ่งนี้ดังนี้ หรือยังธรรมจักรให้
เป็นไปโดยปริยัติธรรมมีอาทิว่า อิทํ โข ปน ภิกฺขเว ทุกฺขํ อริยสจฺจํ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกข์นี้แลเป็นอริยสัจ ดังนี้. บทว่า จกฺกํ อปฺปฏิวตฺติยํ
ความว่า เรายังจักรที่สมณะก็ดี พราหมณ์ก็ดี เทวดาก็ดี มารก็ดี พรหมก็ดี
ใคร ๆ ก็ดี ในโลกให้เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปโดยธรรม.
เสลพราหมณ์เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำพระองค์ให้แจ่มแจ้งอย่างนี้
แล้ว จึงเกิดปีติโสมนัส เพื่อทำให้มั่นยิ่งขึ้นจึงกล่าวคาถาที่สองว่า สมฺพุทฺโธ
ปฏิชานาสิ
พระองค์ทรงปฏิญานว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ ดังนี้.
ในบทเหล่านั้น บทว่า โก นุ เสนาปติ เสลพราหมณ์ทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใครเป็นเสนาบดี ยังธรรมจักรที่เป็นไปแล้ว โดยธรรม
ของพระธรรมราชาให้เป็นไปตามได้. สมัยนั้นท่านพระสารีบุตรนั่งอยู่ ณ ข้าง
เบื้องขวาของพระผู้มีพระภาคเจ้างดงามด้วยสิริดุจก้อนทอง. พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงแสดงกะเสลพราหมณ์จึงตรัสคาถาว่า มยา ปวตฺติตํ ยังธรรมจักร
อันเราให้เป็นไปแล้ว.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อนุชาโต ตถาคตํ พระสารีบุตรผู้เกิดตาม
ตถาคต ความว่า พระสารีบุตรผู้เกิดตาม เพราะเหตุตถาคต คือเกิดเพราะ
ตถาคตเป็นเหตุ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงพยากรณ์ปัญหาว่า โก นุ เสนาปติ
ใครหนอเป็นเสนาบดีอย่างนี้แล้ว มีพระประสงค์จะทำให้เสลพราหมณ์ที่กล่าว
ว่า สมฺพุทฺโธ ปฏิชานาสิ พระองค์ปฏิญาณว่าเป็นสัมพุทธะให้หมดสงสัย
ในข้อนั้น เพื่อให้รู้ว่าเรามิได้ปฏิฆาณเพียงข้อปฏิญาณเท่านั้น แม้เราก็ปฏิญาณ
ว่าเป็นพุทธะด้วยเหตุนี้ จึงตรัสคาถาว่า อภิญฺเญยฺยํ เราได้รู้ยิ่งแล้ว.
ในบทเหล่านั้น บทว่า อภิญฺเญยฺยํ ได้แก่ วิชชาและวิมุตติอันเป็น
มรรคสัจ และสมุทยสัจ ที่ควรเจริญและควรละ ในข้อนี้เป็นอันท่านอธิบาย
ไว้อย่างนี้ว่า แม้นิโรธสัจและทุกขสัจอันเป็นผลแห่งมรรคสัจและสมุทยสัจ
เหล่านั้น เป็นอันท่านกล่าวจากความสำเร็จแห่งผล ด้วยคำพูดอันเป็นเหตุ
เพราะธรรมที่ควรทำให้แจ้งเราได้ทำให้แจ้งแล้ว ธรรมที่ควรรู้เราทำให้รู้แล้ว.
เมื่อจะทรงแสดงการยังสัจจะ 4 ให้เกิด ผลของการเจริญสัจจะ 4 วิชชาและ
วิมุตติ จึงทรงประกาศความเป็นพุทธะด้วยเหตุที่กล่าวแล้วว่า เราตรัสรู้ธรรม
ที่ควรตรัสรู้แล้วจึงเป็นพุทธะ ดังนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงทำพระองค์ให้ปรากฏโดยตรงอย่างนี้แล้ว
เมื่อจะยังพราหมณ์ให้รีบขวนขวาย เพื่อข้ามพ้นความสงสัยในพระองค์จึง ตรัส
คาถาที่สามว่า วินยสฺส ท่านจงกำจัดเสีย.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สลฺลกตฺโต เป็นศัลยแพทย์ คือ ผ่าตัดลูกศร
ที่เสียบสัตว์มีลูกศรคือราคะเป็นต้นออกได้. บทว่า พฺรหฺมภูโต คือเป็นผู้
ประเสริฐ. บทว่า อติตุโล ไม่มีผู้เปรียบ คือ ล่วงเลยการชั่ง ล่วงเลยการ
เปรียบ. อธิบายว่า เปรียบไม่ได้เลย. บทว่า มารเสนปฺปมทฺทโน ย่ำยีมาร

และเสนามารเสียได้ คือย่ำยีมารและเสนามาร กล่าวคือบริษัทของมารที่ท่าน
กล่าวไว้อย่างนี้ว่า ปเร จ อวชานติ ดูหมิ่นผู้อื่น มีอาทิว่า กามา เต
ปฐมา เสนา
กามเป็นเสนาที่หนึ่งของท่าน. บทว่า สพฺพามิตฺเต ได้แก่
ข้าศึกทั้งหมดมีขันธมาร กิเลสมาร อภิสังขารมาร มัจจุมาร และเทวบุตรมาร
เป็นต้น. บทว่า วสีกตฺวา คือให้เป็นไปในอำนาจของตน. บทว่า อกุโตภโย
คือไม่มีภัยแต่ไหน ๆ.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ทันใดนั้นเอง เสลพราหมณ์
เกิดความเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้ามุ่งจะบวช จึงกล่าวคาถาที่สามว่า อัน
โภนฺโต ท่านผู้เจริญทั้งหลายจงฟังคำนี้ เหมือนอย่างเสลพราหมณ์ได้รับการ
สั่งสอนโดยชอบ เพราะถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยถึงความเป็นผู้แก่กล้า.
ในบทเหล่านั้นบทว่า กณฺหาภิชาติโก คือเกิดในตระกูลต่ำมีตระกูล
คนจัณฑาลเป็นต้น. แต่นั้นบรรดามาณพแม้เหล่านั้นก็มุ่งจะบวชเหมือนกัน จึง
กล่าวคาถาว่า เอวํ เจ รุจฺจติ โภโต ถ้าท่านผู้เจริญทั้งหลายชอบใจคำสอน
ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนอย่างกุลบุตรทั้งหลายที่สร้างสมบุญมากับเสล-
พราหมณ์นั้น. ลำดับนั้น เสลพราหมณ์ดีใจในพวกมาณพเหล่านั้น เมื่อจะแสดง
กะมาณพเหล่านั้นจึงกล่าวคาถาว่า ปพฺพชํ ยาจมาโน พฺราหฺมณ ข้าแต่
พราหมณ์ ข้าพเจ้าขอบรรพชา.
แต่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะเสลพราหมณ์ได้เป็นหัวหน้าคณะ
บุรุษ 300 คนเหล่านั้น ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตระ
ในอดีต ให้สร้างบริเวณกับบุรุษเหล่านั้นแล้วทำบุญมีทานเป็นต้น เสวยเทว-

สมบัติและมนุษย์สมบัติโดยลำดับ ในภพสุดท้ายเกิดเป็นอาจารย์ของบุรุษเหล่า
นั้น และกรรมของพวกเขานั้นแก่กล้า เพราะแก่กล้าด้วยวิมุตติและมีอุปนิสัย
แห่งความเป็นเอหิภิกขุ ฉะนั้น พระองค์จึงให้เขาทั้งหมดเหล่านั้นบรรพชาด้วย
เอหิภิกขุบรรพชา ตรัสคาถาว่า สวากฺขาตํ พรหมจรรย์เรากล่าวดีแล้ว.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สนฺทิฏฺฐิกํ ผู้บรรลุพึงเห็นเอง คือประจักษ์
เอง. บทว่า อกาลิกํ ไม่ประกอบด้วยกาล คือ จากผลอันเกิดขึ้นในลำดับ
มรรค มิใช่ผลอันจะพึงบรรลุในระหว่างกาล. บทว่า ยถา คือนิมิตอันใด.
จริงอยู่ บรรพชามีมรรคพรหมจรรย์เป็นนิมิต ย่อมไม่เปล่าประโยชน์แก่ผู้ศึกษา
ในสิกขา 3 ผู้ไม่ประมาท เว้นการอยู่ปราศจากสติ. ด้วยเหตุนั้นท่านจึง
กล่าวว่า สฺวากิขาตํ ฯเปฯ สิกฺขโต พรหมจรรย์เรากล่าวดีแล้ว ผู้บรรลุ
พึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล เป็นที่ออกบวชอันไม่เปล่าประโยชน์ของบุคคล
ผู้ไม่ประมาทศึกษาอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า เอถ ภิกฺขโว ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลายพวกเธอ จงเป็นภิกษุมาเถิด. ภิกษุทั้งหมดเหล่านั้นทรงบาตรและ
จีวรมาทางอากาศถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระสังคีติกาจารย์กล่าวว่า
อลตฺถ โข เสโล พฺราหฺมโณ ฯเปฯ อุปสมฺปทํ เสลพราหมณ์พร้อมกับ
บริษัทได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ หมายถึง
ความเป็นเอหิภิกขุของท่านเหล่านั้น ด้วยประการฉะนี้.
บทว่า ภุตฺตาวึ เสวยเสร็จแล้ว. บทว่า โอนีตปตฺตปาณึ คือชัก
พระหัตถ์จากบาตรแล้ว. ท่านอธิบายว่า นำพระหัตถ์ออกแล้ว. ในบทนั้น
พึงเห็นปาฐะที่ขาดไปว่า อุปคนฺตฺวา เข้าไปใกล้เเล้ว ไม่ควรใช้ว่า ภควนฺตํ
เอกมนฺตํ นิสีทิ.

บทว่า อคฺคิหุตํ มุขา ยัญทั้งหลายมีการบูชาไฟเป็นประมุข พระผู้มี
พระภาคเจ้า เมื่อจะทรงอนุโมทนาด้วยความอนุเคราะห์เกณิยะ จึงตรัสอย่างนี้.
ในบทนั้น พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อคฺคิหุตํ
มุขา ยญฺญา
ยัญทั้งหลายมีการบูชาไฟเป็นประมุข เพราะพวกพราหมณ์ไม่มี
การบูชานอกจากบูชาไฟ. อธิบายว่า การบูชาไฟประเสริฐที่สุด คือการบูชาไฟ
เป็นประมุข พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สาวิตฺติ ฉนฺทโส มุขํ ฉันท์ทั้งหลาย
มีสาวิตติฉันท์เป็นประมุข เพราะอันผู้สาธยายพระเวททั้งหลายต้องสาธยายก่อน
พระราชาท่านกล่าวว่า เป็นประมุข เพราะประเสริฐที่สุดกว่ามนุษย์ทั้งหลาย
สาครท่านกล่าวว่า เป็นประมุข เพราะเป็นที่รองรับและเป็นที่อาศัยของแม่น้ำ
ทั้งหลาย. ท่านกล่าวว่า พระจันทร์เป็นประมุขของนักษัตรทั้งหลาย เพราะ
เป็นเครื่องปรากฏว่า วันนี้ดาวกัตติกา วันนี้ดาวโรหิณีเพราะอาศัยพระจันทร์ขึ้น.
ท่านกล่าวว่า อาทิจฺโจ ตปตํ มุขํ พระอาทิตย์เป็นประมุขของความร้อน
เพราะพระอาทิตย์สูงกว่าความร้อนทั้งหลาย. ท่านกล่าวว่า สงฺโฆ เว ยชตํ
มุขํ
พระสงฆ์แลเป็นประมุขของผู้มุ่งบุญทั้งหลาย หมายถึงพระสงฆ์มีพระ-
พุทธเจ้าเป็นประมุขในสมัยนั้นด้วยความวิเศษ เพราะพระสงฆ์เป็นทักขิไณย-
บุคคลผู้เลิศ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระสงฆ์เป็นประมุขแห่งความเจริญ
ของบุญ.
บทว่า ยนฺตํ สรณํ ท่านเสลภิกษุกราบทูลถึงการพยากรณ์อื่น. บท
นั้นมีอธิบายดังนี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีจักษุ ด้วยจักษุ 5 เพราะ
ข้าพระองค์ทั้งหลายถึงพระองค์เป็นที่พึ่งในวันที่ 8 นับแต่วันนี้ (คือถึงสรณะ

ได้เพียง 8 วัน ) ฉะนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายจึงฝึกฝนตนด้วยความฝึกฝนอย่างยิ่ง
ในศาสนาของพระองค์ 7 ราตรี น่าอัศจรรย์อานุภาพแห่งสรณะของพระองค์.
ต่อจากนั้น เสลภิกษุสรรเสริญพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาสองคาถา
แล้วขอถวายบังคมด้วยคาถาที่สามว่า
ภิกฺขโว ติสตา อิเม ติฏฺฐนฺติ ปญฺชลีกตา
ปาเท วีร ปสาเรติ นาคา วนฺทนฺตุ สตฺถุโน.
ภิกษุ 300 รูปเหล่านี้ ยืนประนม
อัญชลีอยู่ ข้าแต่พระวีรเจ้า ขอทรงเหยียด
พระบาทยุคลเถิด ท่านผู้ประเสริฐทั้งหลาย
ขอถวายบังคมพระบาทยุคลของพระศาสดา.

จบอรรถกถาเสลสูตรที่ 7 แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา

สัลลสูตรที่ 8


ว่าด้วยความเป็นธรรมดาของสัตว์โลก


[380] ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายใน
โลกนี้ ไม่มีเครื่องหมาย ใคร ๆ รู้ไม่ได้
ทั้งลำบาก ทั้งน้อย และประกอบด้วยทุกข์.
สัตว์ทั้งหลาย ผู้เกิดแล้ว จะไม่ตาย
ด้วยความพยายามอันใด ความพยายามอัน
นั้นไม่มีเลย แม้อยู่ได้ถึงชราก็ต้องตายเพราะ
สัตว์ทั้งหลายมีอย่างนี้เป็นธรรมดา.
ผลไม้สุกงอมแล้ว ชื่อว่าย่อมมีภัย
เพราะจะต้องร่วงหล่นลงไปในเวลาเช้า ฉัน
ใด สัตว์ทั้งหลายผู้เกิดแล้ว ชื่อว่าย่อมมีภัย
เพราะจะต้องตายเป็นนิตย์ ฉันนั้น.
ภาชนะดินที่นายช่างทำแล้วทุกชนิด
มีความแตกเป็นที่สุด แม้ฉันใด ชีวิตของ
สัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่
ทั้งคนเขลา ทั้งคนฉลาด ล้วนไปสู่อำนาจ
ของมฤตยู มีมฤตยูเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
ด้วยกันทั้งหมด.